การทำสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากสำหรับทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่า เพราะการที่สัญญามีความชัดเจนและรัดกุม จะช่วยให้การปล่อยเช่าเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจในภายหลัง และยังจะช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ข้อพิพาทเรื่องค่าเช่า การบำรุงรักษาทรัพย์สิน หรือสิทธิในการบอกเลิกสัญญา ซึ่งในวันนี้เราจึงได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการเขียนสัญญาเช่าบ้านและคอนโดมาฝาก ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น เราไปติดตามพร้อม ๆ กันเลย
ความสำคัญของสัญญาเช่าบ้านหรือเช่าคอนโด
สัญญาเช่าบ้านหรือเช่าคอนโดมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นข้อตกลงทางกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยป้องกันข้อพิพาทและความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเช่าอยู่อาศัย โดยสัญญาเช่าที่รัดกุมจะระบุเงื่อนไขสำคัญ เช่น ค่าเช่า ระยะเวลาเช่า ข้อกำหนดในการบำรุงรักษาทรัพย์สิน รวมถึงสิทธิในการยกเลิกสัญญา ทั้งนี้การมีสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทั้ง 2 ฝ่ายว่าเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้จะได้รับการปฏิบัติตามอย่างถูกต้องและเป็นธรรม โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายยินยอมตามข้อกำหนดภายในสัญญาเช่า
รายละเอียดภายในสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโด
1. ระบุข้อมูลของคู่สัญญาให้ชัดเจน
ในสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดควรจะต้องระบุข้อมูลของคู่สัญญาให้ครบถ้วน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ข้อมูลผู้ให้เช่า : ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และเลขประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
- ข้อมูลผู้เช่า : ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และเลขประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
- ข้อมูลที่อยู่อาศัยที่จะเช่า : รายละเอียดที่อยู่ที่ชัดเจน เช่น หมายเลขบ้าน คอนโด ชั้น และหมายเลขห้องพัก รวมถึงลักษณะของทรัพย์สินที่เช่า เช่น ขนาดพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้อง
2. ระบุระยะเวลาเช่าและข้อกำหนดการต่ออายุสัญญา
ให้คุณระบุระยะเวลาที่แน่นอนในการเช่าบ้านหรือคอนโดให้ชัดเจน คือ เริ่มต้นวันที่เท่าไรและสิ้นสุดเมื่อใด ซึ่งถ้าหากมีการต่ออายุสัญญา ควรระบุเงื่อนไขและระยะเวลาในการต่ออายุ ยกตัวอย่างเช่น จะต่ออายุสัญญาเช่าโดยอัตโนมัติหรือไม่ ? หากมีการปรับเปลี่ยนค่าเช่าเมื่อครบกำหนดจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้ากี่วัน ? เป็นต้น
3. กำหนดค่าเช่าและเงื่อนไขการชำระเงิน
รายละเอียดในส่วนนี้ผู้ให้เช่าจะต้องระบุค่าเช่าและเงื่อนไขการชำระเงินไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น จำนวนค่าเช่าต่อเดือน(เขียนเป็นตัวเลขและตัวอักษร) วันครบกำหนดชำระค่าเช่า วิธีการชำระ เช่น โอนเงินผ่านบัญชีธนาคารหรือจ่ายเป็นเงินสด และควรกำหนดว่าหากมีการชำระล่าช้าจะมีค่าปรับอย่างไร และจะต้องชำระภายในกี่วันหลังจากครบกำหนด ซึ่งการระบุค่าเช่าและเงื่อนไขการชำระเงินที่ชัดเจนจะช่วยป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการเงินที่อาจเกิดขึ้น
4. วางเงินประกันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ผู้ให้เช่ามักจะเรียกเก็บเงินประกันล่วงหน้าเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ฉะนั้นควรระบุจำนวนเงินประกันที่ผู้เช่าต้องชำระ และเงื่อนไขในการคืนเงินประกันเมื่อสิ้นสุดสัญญา นอกจากนี้ควรระบุค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ผู้เช่าจะต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าล้างแอร์หรือค่าบริการส่วนกลาง เพื่อให้ผู้เช่าเข้าใจภาระทางการเงินที่ต้องรับผิดชอบ หรือถ้าหากมีข้อโต้แย้งกันก็ให้ระบุไว้ในสัญญาอย่างชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้จ่ายในส่วนไหน
5. ระบุขอบเขตและความรับผิดชอบในการบำรุงรักษา
ในสัญญาควรระบุให้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบำรุงรักษาและซ่อมแซมบ้านหรือคอนโด เช่น หากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า น้ำประปาหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าจะเป็นผู้รับผิดชอบ รวมถึงเงื่อนไขการแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบทันทีเมื่อพบความเสียหายหรือไม่และภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่าใด
6. การใช้สิทธิ์ในการบอกเลิกสัญญา
การบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดควรระบุเงื่อนไขการยกเลิกอย่างชัดเจน เช่น ผู้เช่าจะสามารถบอกเลิกสัญญาได้เมื่อไร และต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน หากมีการบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดจะต้องมีการจ่ายค่าปรับหรือไม่ และจำนวนค่าปรับเท่าไร ทั้งนี้ผู้ให้เช่าก็ควรระบุถึงสิทธิ์ของตนในการบอกเลิกสัญญาหากผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา
7. การใช้งานทรัพย์สินและข้อห้าม
สัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดควรระบุเงื่อนไขการใช้ทรัพย์สินอย่างชัดเจน เช่น การห้ามนำทรัพย์สินไปให้เช่าช่วงต่อ การห้ามเลี้ยงสัตว์ การห้ามใช้ที่พักในเชิงพาณิชย์หรือห้ามทำกิจกรรมที่สร้างความรำคาญแก่ผู้พักอาศัยคนอื่น ๆ ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้การใช้ทรัพย์สินเป็นไปตามความต้องการของผู้ให้เช่าและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพักอาศัย
8. ระบุสิทธิและข้อกำหนดเพิ่มเติม
หากมีข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การอนุญาตให้มีผู้พักอาศัยเพิ่มเติมในจำนวนจำกัด การจำกัดเวลาในการใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง การกำหนดเวลาในการปิดไฟหรือประตูล็อคกลางคืน ฯลฯ ผู้ให้เช่าควรระบุไว้ในสัญญาอย่างละเอียดเพื่อให้ผู้เช่าเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
9. การลงนามและพยาน
สัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดจะต้องมีการลงนามโดยทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่า รวมถึงพยานที่รับรองการลงนาม เพื่อให้สัญญามีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ซึ่งการมีพยานจะช่วยป้องกันการปลอมแปลงและข้อโต้แย้งในภายหลัง ทั้งนี้สัญญาจะต้องลงวันที่ชัดเจนในวันที่ทำการลงนามเพื่อเป็นหลักฐานทางกฎหมาย
เคล็ดลับการทำสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น
การทำสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดที่รัดกุมจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า โดยมีรายละเอียดเคล็ดลับที่ผู้ให้เช่าควรรู้ดังนี้
- รายละเอียดที่ชัดเจน : สัญญาควรระบุข้อมูลพื้นฐานอย่างครบถ้วน เช่น ชื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่า ที่ตั้งของทรัพย์สิน ระยะเวลาการเช่า ค่าเช่า และวันที่ต้องชำระค่าเช่า รวมถึงวิธีการชำระเงิน ข้อมูลเหล่านี้ควรมีความชัดเจนและไม่คลุมเครือ
- การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบ : สัญญาควรกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า เช่น การดูแลรักษาบ้าน การซ่อมแซมทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และเงื่อนไขในการคืนบ้านเมื่อหมดสัญญา
- ข้อกำหนดเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญา : ควรระบุเงื่อนไขและกระบวนการในการยกเลิกสัญญาให้ชัดเจน เช่น การแจ้งเตือนล่วงหน้า ระยะเวลาในการแจ้ง และบทลงโทษในกรณีที่มีการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด รวมถึงเงื่อนไขการคืนเงินประกัน
- การตรวจสอบทรัพย์สินก่อนการเช่า : ก่อนการทำสัญญาเช่าควรมีการตรวจสอบทรัพย์สินอย่างละเอียด พร้อมระบุสภาพของบ้านหรือคอนโดในเอกสารแนบเพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต เช่น ภาพถ่ายสภาพบ้านโดยรวม ภาพถ่ายเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ เพื่อยืนยันว่าก่อนปล่อยเช่าทรัพย์สินทุกอย่างอยู่สภาพสมบูรณ์ ไม่มีการชำรุด ดังนั้นหากเกิดการชำรุดแตกหักหลังจากที่ปล่อยเช่า ผู้เช่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
- ให้ผู้เช่าเซ็นทุกหน้าของสัญญาเช่า : เพื่อยืนยันว่าผู้เช่าได้อ่านรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ครบถ้วนทุกหน้า
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย : เพื่อให้สัญญามีความรัดกุม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายหรือนักกฎหมายที่มีความรู้ในการร่างสัญญาเช่าทรัพย์สิน เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญามีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การจัดทำสัญญาเช่าบ้านหรือคอนโดที่รัดกุมและครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีความมั่นใจในการทำธุรกรรมที่โปร่งใสและเป็นธรรม นอกจากนี้การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจว่าสัญญานั้นจะถูกต้องตามกฎหมายและยังช่วยป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และสำหรับใครที่กำลังต้องการปล่อยเช่าบ้านหรือคอนโด คุณก็สามารถมาลงประกาศได้ที่ Propertyhub เว็บไซต์ที่รวบรวมประกาศปล่อยเช่า/ขายอสังหาฯ ที่ใช้งานง่ายมากที่สุด