แนวโน้มการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ายรถหลายค่าย เริ่มทยอยเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งแต่ละค่ายต่างก็ชูจุดเด่นของตัวเอง เพื่อให้สินค้ามีความน่าสนใจ
แต่ความกังวลของหลายคนคือเรื่องสถานีชาร์จ หากไม่อยู่บ้านแนวราบแล้ว จะสามารถชาร์จไฟได้ง่ายไหม หรือต้องเสียเวลากับการชาร์จตามจุดนอกบ้านที่กำหนดเท่านั้นหรือไม่
จากเดิมทีปริมาณรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีจำนวนค่อนข้างน้อย ฉะนั้นหลายๆ คอนโดจึงมีจำนวนช่องให้จอดชาร์จไฟเพียงแค่ 1-2 ช่องเท่านั้น แต่ปัจจุบันก็เริ่มขยายปรับตัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากเพิ่มช่องจอด ยังเพิ่มหัวชาร์จหลากหลาย เหมือนกับตามสถานีชาร์จไฟใหญ่ๆ ทั่วไป
อย่างคอนโด “แสนสิริ” เองก็ได้เข้าร่วมเป็น Partner กับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง
EV Charging Ecosystem ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อขยายโซลูชั่น ให้ลูกบ้านแสนสิริใช้รถพลังงานไฟฟ้าและการเข้าถึงสถานีชาร์จ ด้วยการติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการที่อยู่อาศัยนำร่องคอนโดมิเนียม 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ
เมื่อพูดถึงพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ 80% จะชาร์จไฟที่บ้านในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ และอีก 20% ชาร์จระหว่างทาง ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์จากหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน กำลังพัฒนารถ EV รุ่นใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มราคาลดลงต่อเนื่อง หากทำราคาได้ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เชื่อว่ากลุ่มผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ถ้ายิ่งคุณอาศัยอยู่ที่บ้าน มีที่จอดรถในบ้าน การติดตั้ง Wall charge ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด คุณสามารถกลับบ้านมากี่โมงก็ได้ และเสียบชาร์จไฟฟ้าเข้าไปด้วยกำลังไฟ 3.5 kWh - 22 kWh แล้วแต่การติดตั้ง ทิ้งไว้ยาวๆ แบบข้ามคืนได้อย่างสบายใจหายห่วง
เมื่อพูดถึงจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้า ช่วยลดมลพิษ
ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ส่งผลกระทบ เห็นได้ชัดจากปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดมาจากรถ ดังนั้นการเลือกใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊ส ถือเป็นอีกหนึ่งวิธี ที่จะช่วยให้โลกของเรามีมลพิษทางอากาศที่ต่ำลง
มีเสียงที่เงียบกว่า
รถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน จึงทำให้มีเสียงที่เงียบกว่า ซึ่งต่างจากเครื่องยนต์สันดาป ที่มีชิ้นส่วนในเครื่องยนต์มากมายหลายชิ้น เกิดการเผาไหม้ จึงทำให้มีเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังกว่า
มีอัตราเร่งดี ไม่หน่วง
หากท่านใดที่เคยทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้า คงทราบกันดีครับ ว่าตั้งแต่การออกตัว ไปจนถึงการทำความเร็วสูง จะไม่มีจังหวะหน่วงเหมือนรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน และไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์
รถยนต์ไฟฟ้าดูแลรักษาง่าย
รถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีเครื่องยนต์ ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ต่างจากเครื่องยนต์สันดาป ที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนมากมายหลายชิ้น เมื่อเกิดการเสื่อมสภาพ ก็ต้องไล่เปลี่ยนซ่อมแซมมากกว่า ค่าซ่อมถูกบ้างแพงบ้างปะปนกันไป
รถยนต์ไฟฟ้า ประหยัดค่าใช้จ่าย
รถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีเครื่องยนต์ จึงไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ซึ่งพลังงานที่จะใช้ในการขับเคลื่อนก็คือ “ไฟฟ้า” เราสามารถชาร์จแบตฯ ได้ที่บ้าน ซึ่งค่าไฟ เมื่อเทียบกับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ประหยัดกว่าหลายเท่าตัวเลยครับ
เมื่อพูดถึงข้อดีกันไปแล้ว เรามาดูข้อจำกัดของการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันบ้างครับ เนื่องจากในประเทศไทยคุ้นเคยกับการใช้รถยนต์ที่เป็นแบบระบบน้ำมัน และน้ำมัน+ไฟฟ้า เป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% อาจจะติดข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับบางท่าน เพราะรถยนต์ไฟฟ้าโดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อชาร์จไฟเต็ม จะวิ่งได้ในระยะทางประมาณ 200-300 กม. (แต่ก็เริ่มมีรถไฟฟ้าบางรุ่น ที่สามารถวิ่งได้ไกลกว่านั้น) และสถานีชาร์จไฟ ปัจจุบันมีอยู่น้อยมาก หากต้องขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปในสถานที่ไกลๆ อาจจะต้องวางแผนกันหน่อยครับ เพราะถ้าไปแบตฯ หมดดับกลางทางคงปวดหัวกันเลยทีเดียว แต่เชื่อว่าในอนาคตอีก 1-2 ปีข้างหน้าสถานีชาร์จไฟรถไฟฟ้าจะถูกพัฒนาให้มมีเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
ติดตามรีวิวรถออกใหม่ เช็คราคาและตารางผ่อนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ พร้อมอัปเดตข่าวสารในวงการรถยนต์ก่อนใคร ที่เวปไซต์ Autospinn หรือจะค้นหารถมือสอง ราคาโดน ๆ พร้อมโปรโมชั่นที่น่าสนใจ ต้องนึกถึง one2car ตลาดซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย